Entourage Effect ในกัญชา: กลไก, การพิสูจน์, บทบาทของเทอร์ปีน
Table of Contents
มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่กำลังใช้กัญชาทางการแพทย์ เพื่อเป็นทางเลือกในการบำบัดรักษาโรค และบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น ความเจ็บปวด และปัญหาการนอนหลับ หัวใจสำคัญของการศึกษาแนวทางการรักษานี้ คือ Entourage Effect ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อคุณลักษณะทางยา
กัญชามีองค์ประกอบที่แตกต่างกันมากมาย เช่น Cannabinoid (แคนนาบินอยด์) และ Terpene (เทอร์ปีน) เมื่อสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำงานร่วมกัน จะทำให้ผลของกัญชาเพิ่มขึ้น แต่หากใช้เพียงส่วนเดียวก็จะใช้งานไม่ได้ แนวคิดเรื่องการทำงานร่วมกันนี้ ซึ่งถือเป็นแนวคิดหลักของ Entourage Effect
บทความนี้เป็นการศึกษาปรากฏการณ์นี้โดยละเอียด ซึ่งคุณจะพบทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับ Entourage Effect และผลกระทบที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพทางการแพทย์
Entourage Effect คืออะไร
ลองนึกภาพร่างกายของคุณเป็นแบบวงออร์เคสตรา และสารประกอบในกัญชาก็เหมือนกับเครื่องดนตรีที่แตกต่างกัน เมื่อคุณเสพกัญชา คุณกำลังนำสารประกอบหลายร้อยชนิดเข้าสู่ร่างกายของคุณ สารประกอบแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและผลที่ได้รับแตกต่างกัน เช่นเดียวกับเครื่องดนตรีแต่ละชนิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ภายในร่างกายของเรามีสิ่งที่เรียกว่า Endocannabinoid System (ECS) ซึ่งเปรียบเสมือนวาทยากรของวงออร์เคสตรา ที่คอยชี้นำปฏิกิริยาระหว่างสารประกอบเหล่านี้กับตัวรับของร่างกาย เมื่อสารประกอบกัญชา เช่น Cannabinoid และ Terpene เกิดปฏิกิริยากับตัวรับใน ECS พวกมันจะสร้างผลลัพธ์ต่าง ๆ คล้ายกับเสียงบรรเลงร่วมกันของเครื่องดนตรีที่กลมกลืนกันอย่างสวยงาม
แต่ละสารประกอบก็มีบทบาทเฉพาะตัว ตัวอย่างเช่น สาร Cannabinoid จะช่วยบรรเทาอาการปวด, ผ่อนคลาย และอื่น ๆ ได้ ในทางกลับกัน Terpene มีหน้าที่รับผิดชอบต่อกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างของกัญชาแต่ละสายพันธุ์ และยังส่งผลต่อความรู้สึกของคุณอีกด้วย
ความมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นเมื่อสารประกอบเหล่านี้ทำงานร่วมกัน เมื่อ Cannabinoid, Terpene และสารประกอบอื่น ๆ ทำงานร่วมกัน มันจะสร้างผลลัพธ์ที่มีเอกลักษณ์ และจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้สารเพียงชนิดเดียว ผลลัพธ์ที่เกิดรวมกันนี้เราเรียกว่า Entourage Effect
จุดเริ่มต้นของผลกระทบ
Dr. Ethan Russo ผู้เป็นนักประสาทวิทยาและนักวิจัยที่น่าเชื่อถือ เป็นผู้บุกเบิกการสำรวจ Entourage Effect ของกัญชา งานวิจัยของเขามีชื่อว่า ‘ Taming THC ‘ ซึ่งทำให้เราเข้าใจอย่างมากขึ้นว่า Cannabinoid, Terpene และ Flavonoid เปรียบเสมือน “โน้ตดนตรี” ที่แตกต่างกันในกัญชา และจะมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และกับร่างกายของเราอย่างไร
การศึกษาเชิงลึกของ Dr. Russo ได้พิสูจน์แล้วว่า Cannabinoid เป็นมากกว่าศิลปินเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีที่มีชีวิตชีวา พวกมันจะทำงานร่วมกับตัวรับในร่างกาย ซึ่งมักจะสร้างผลกระทบที่เกินกว่าที่ Cannabinoid ตัวเดียวจะทำได้
มาศึกษารายละเอียดด้านล่างนี้กัน
บทพิสูจน์การทำงานแบบ Entourage Effect
มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บางประการที่สนับสนุน Entourage Effect
- งานวิจัยการศึกษาทางการแพทย์ ในปี 2010 แสดงให้เห็นหลักฐานบางส่วนของทฤษฎี ซึ่งทดลองในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับ THC เปรียบเทียบกับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับ THC และ CBD ในสัดส่วนเท่ากัน ผลพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับสาร THC และ CBD มีอาการปวดน้อยกว่าผู้ที่ได้ THC ตัวเดียว
งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า THC และ CBD ทำงานร่วมกันได้ดีกว่าการทำงานเดี่ยว ๆ แต่ในกัญชาไม่ได้มีแค่ THC และ CBD เท่านั้น
- การศึกษาอื่นที่ทำในปี 2020 ยังเน้นย้ำถึงประสิทธิภาพของ Cannabinoid และ Terpene ว่ามีส่วนช่วยในการรักษาได้
งานวิจัยนี้ยังบ่งชี้ว่า การทำงานร่วมกันของ Cannabinoid, Terpene และ Flavonoid อาจทำให้เกิดรูปแบบการรักษาที่กว้างขึ้น โดยให้ประโยชน์ต่อสุขภาพที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้ Cannabinoid เพียงอย่างเดียว
บทบาทของ Terpene
Terpenes เป็นอีกส่วนหนึ่งของปริศนา Entourage Effect ซึ่งมี สารเคมีอะโรมาติกในกัญชามากกว่า 200 ชนิด และพวกมันต่างเป็นตัวกำหนดรสชาติและกลิ่นของกัญชา
ที่สำคัญกว่านั้น ยังกำหนดประสบการณ์ของสายพันธุ์กัญชาว่าจะเป็นอย่างไรด้วย ข้อมูลต่อไปนี้เป็นการศึกษาบางส่วนเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างนี้:
- ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า สายพันธุ์ที่มี Pinene (ไพนีน) สามารถเพิ่มผลกระทบของปริมาณ THC ได้ และจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่จะทราบรายละเอียดที่ชัดเจน
- การศึกษาอีกชิ้นหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า Limonene (ลิโมนีน) เป็น Terpene ที่มีคุณสมบัติต้านความวิตกกังวล และต้านอาการซึมเศร้าในหนูทดลอง ส่งผลต่อ CBD และ THC
- ในทำนองเดียวกัน Myrcene (ไมร์ซีน) ก็เป็น Terpene ที่หลายคนรู้จักกันดี ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการระงับประสาท และช่วยให้นอนหลับได้ดี ดังนั้น สายพันธุ์ที่อุดมไปด้วย Myrcene เช่น Northern Lights หรือ Granddaddy Purple จะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น
พูดง่าย ๆ ก็คือ Terpene เป็นเหมือนผู้ช่วยลับ ที่ไม่เพียงแต่ให้กลิ่นและรสชาติเท่านั้น แต่ยังร่วมมือกับสิ่งอื่น ๆ ในกัญชา เพื่อทำให้เรารู้สึกทางอารมณ์และร่างกายได้ดีขึ้น
บทบาทของ Flavonoid
Flavonoid (ฟลาโวนอยด์) เป็นกลุ่มของสารประกอบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่พบในพืชหลากหลายชนิด รวมถึงกัญชาด้วย สารนี้ขึ้นชื่อในเรื่องประโยชน์ต่อสุขภาพ และกำลังได้รับการศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ, ต้านการอักเสบ และการรักษาโรคอื่น ๆ
แม้ว่า Entourage Effect มักจะเกี่ยวข้องกับสาร Cannabinoid และTerpene แต่งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่า Flavonoid ก็อาจมีบทบาทในปรากฏการณ์นี้เช่นกัน Flavonoid สามารถทำปฏิกิริยากับสารประกอบอื่น ๆ ในกัญชา และอาจส่งผลต่อผลลัพธ์โดยรวม และประโยชน์ในการรักษาได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับ Cannabinoid และ Terpene แล้ว งานวิจัยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของ Flavonoid ต่อ Entourage Effect ยังคงมีจำกัด
การจำแนกประเภทของ Chemovar: องค์ประกอบสำคัญของ Entourage Effect
การจำแนกประเภทของ Chemovar หรือ คีโมไทป์ หมายถึง การแบ่งประเภทของสายพันธุ์กัญชาตามคุณสมบัติทางเคมี เช่น ปริมาณ Cannabinoid และ Terpene ซึ่งสิ่งนี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนข้อพิสูจน์เกี่ยวกับ Entourage effect ในเชิงปฏิบัติ
ระบบการจำแนกประเภท Chemovar ช่วยให้เข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และคุณสมบัติในการรักษาของกัญชาสายพันธุ์ต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
จากที่กล่าวมาเราจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เข้าใจถึงผลกระทบของกัญชาได้จาก 3 สายพันธุ์ ได้แก่ Indica, Sativa และไฮบริด ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การจำแนกกัญชายังต้องการการจับคู่ของ Terpene และ Cannabinoid ที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าสายพันธุ์นั้น ๆ มีประสิทธิภาพอย่างไร และนำเสนอสิ่งที่ผลิตภัณฑ์สามารถทำได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
สิ่งนี้จะอธิบายได้ว่าทำไมคุณถึงต้องลองทั้ง Northern Lights และ Jack Herer ที่อาจมีปริมาณ THC คล้ายกัน แต่ให้ผลที่ต่างกัน
Northern Lights จะมีสาร Myrcene ที่ขึ้นชื่อเรื่องความผ่อนคลาย ในขณะที่ Jack Herer มีสาร Limonene ที่ช่วยทำให้เบิกบาน ทั้งนี้ Terpene และความเข้มข้น ล้วนมีผลโดยรวมต่อ Cannabinoid ให้เกิดความแตกต่างกัน
Entourage Effect และ Cannabis Spectrum
เมื่อคุณซื้อสารสกัดและน้ำมันกัญชา สิ่งที่พบคือ
สารสกัดกัญชาจะมี 3 ประเภท: Full-spectrum, Broad-spectrum, และ Isolate
สเปกตรัมกัญชาที่คุณเลือกจะเป็นตัวกำหนด Entourage Effect ตัวอย่างเช่น การใช้ Isolate จะไม่ส่งเสริม Entourage Effect เนื่องจากมี Cannabinoid เพียงชนิดเดียว ในขณะที่ผลิตภัณฑ์แบบ Full-spectrum จะมี Entourage Effect มากกว่า
- Full-spectrum: สารสกัดเหล่านี้มีทั้งสาร Cannabinoid และ Terpene ซึ่งให้ผลการรักษาที่หลากหลาย และมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับ Entourage Effect เหมาะสำหรับการเป็นทิงเจอร์, ใส่ในของกิน และน้ำมันกัญชา ซึ่งให้ผลยาวนาน แต่จำไว้ว่าการมี THC สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการทางประสาทได้
- Broad-spectrum: คล้ายกับ Full-spectrum แต่ไม่มี THC สารสกัดเหล่านี้ยังคงมี Terpene และ Cannabinoid จำนวนมาก และออกแบบมาสำหรับผู้ที่ต้องการ Entourage Effect โดยไม่มีอาการทางจิตประสาทจาก THC เหมาะสำหรับการใส่ในอาหาร, ทิงเจอร์ และน้ำมัน ทั้งนี้ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นหลังสกัด THC ออกไป
- Isolate: มุ่งเน้นการแยกสารประกอบเดี่ยว เช่น CBD หรือ THC โดยใช้ผสมในอาหาร, แคปซูล และยาเฉพาะที่ สาร CBD Isolate เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงสารประกอบอื่น ๆ ในขณะที่สาร THC Isolate ทำให้การให้ยาง่ายขึ้น และโปรดจำไว้ว่าสิ่งนี้จะไม่เกิด Entourage Effect
Conclusion
แม้ว่าแนวคิดเรื่อง Entourage Effect จะได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้ว่ายังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมากนัก อย่างไรก็ตาม การศึกษาในช่วงแรกและประสบการณ์จากผู้ที่ใช้กัญชาแสดงให้เห็นว่า สิ่งนี้อาจช่วยทำให้การบำบัดด้วยกัญชาดีได้ผลที่ดีมากยิ่งขึ้น
Entourage Effect ใช้อธิบายได้ว่า ทำไมกัญชาประเภทต่าง ๆ จึงให้ผลที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะมี THC เท่ากันก็ตาม ซึ่งเป็นเพราะส่วนผสมพิเศษของสาร Cannabinoid และ Terpene ในกัญชาแต่ละประเภทนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ผลิตภัณฑ์แบบ Full-spectrum ซึ่งมีสารประกอบเหล่านี้จำนวนมาก จึงเหมาะสำหรับการแก้ปัญหาสุขภาพเฉพาะด้าน แต่งานวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Entourage Effect อาจเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้กัญชาเพื่อสุขภาพในอนาคตได้
ลองสำรวจคอลเลกชันผลิตภัณฑ์กัญชาที่ถูกกฎหมายของเราใน Weed Review หากคุณต้องการสัมผัสกับประสบการณ์ Entourage Effect ด้วยตัวคุณเอง