Cheese
การบริโภคกัญชาอาจทำให้เกิดการเสพติดได้ และไม่แนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคหรือมีอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับการบริโภคกัญชา เนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น มิใช่คำแนะนำทางการแพทย์ หากคุณต้องการที่จะบริโภคกัญชา เพื่อส่งเสริมสุขภาพของคุณ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
Quick info
CBD
1%
THC
18%
Effects & Usage
Benefits
สายพันธุ์นี้ถูกขนานนามว่าเป็น ” stinky socks (ถุงเท้าเหม็น ๆ)” โดยสายพันธุ์ Cheese เป็นสายพันธุ์ indica เด่น ที่มีสาร THC เฉลี่ยอยู่ที่ 17% ถึง 20% การสูบกัญชาสายพันธุ์นี้จึงทำให้คุณรู้สึกร่าเริงและมีความสุข ในขณะที่ร่างกายก็ได้รับการผ่อนคลายอย่างเต็มที่ สายพันธุ์ Cheese เป็นการผสมพันธุ์จากฟีโนไทป์ของ Skunk #1 ที่มีกลิ่นหอมมากที่สุด และทำให้สายพันธุ์นี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ในด้านของกลิ่นหอมและรสชาติที่โดดเด่น
อาการเริ่มต้น
แม้จะมีปริมาณของ THC ในระดับปานกลาง แต่สายพันธุ์ Cheese ก็อัดแน่นไปด้วยพลัง ในขณะที่ สายพันธุ์ดังกล่าวค่อนข้างเอนเอียงไปทาง Indica มากกว่า แต่ผลของ Sativa ก็ทรงพลังไม่แพ้กัน หลังจากการบริโภคภายในเวลาไม่กี่นาที คุณจะรู้สึกอารมณ์ดีแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งจะทำให้วันนั้นของคุณสดใสขึ้นทันทีทันใด มุมมองเชิงบวกนี้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกมีจินตนาการ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ที่พร้อมจะใช้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ไปกับงานและปัญหาของพวกเขา
Cheese เป็นสายพันธุ์ลูกผสมที่ดีที่สุด ที่เชื่อมโลกสองโลกเข้าไว้ด้วยกัน เพราะในขณะที่กำลังปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น ก็เกิดความสงบในร่างกายไปพร้อม ๆ กัน สายพันธุ์ Cheese จึงมีผลทำให้ร่างกายเกิดความผ่อนคลายจากความเจ็บปวด และลดความตึงเครียดทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ คุณไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอาการอยากนอนจนไม่อยากลุกไปไหน ถ้าไม่สูบมากจนเกินไป เพราะสายพันธุ์ Cheese จะทำให้คุณทำงานได้อย่างมีความสุขและมองโลกในแง่ดี คุณอาจจะหัวเราะเสียงดัง และมีอารมณ์ที่ดีมากกว่าที่เคย ซึ่งทำให้เรื่องตลกทุกเรื่องที่รับฟังสนุกมากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง การมีสายพันธุ์ Indica ที่ว่านี้ ทำให้มันเหมาะมาก ๆ กับงานปาร์ตี้เพื่อนสนิทของคุณ และรับประกันว่าจะเกิดช่วงเวลาที่ดีแน่นอน มาศึกษาเจาะลึกลงไปในสายพันธุ์กัญชาของเรา เพื่อค้นหาความเพลิดเพลินกับคนที่คุณรักเพิ่มเติมได้เลย
สำหรับใครที่ต้องการให้อารมณ์ดีขึ้น มีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจอย่างสมดุล ลองใช้ Gelato หรือ Bubble Gum
การใช้
ความสามารถของสายพันธุ์ Cheese ช่วยจัดการกับภาวะต่าง ๆ ได้ดี มีประโยชน์ในการผ่อนคลาย และต้านการอักเสบ และเสริมด้วย Myrcene และ Caryophyllene ที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง, ไมเกรน, กล้ามเนื้อกระตุก, ปวดประจำเดือน รวมถึงปัญหาอื่น ๆ และยังช่วยปลดปล่อยความเครียดได้เป็นอย่างดี แม้แต่ผู้ใช้งานที่มีความเครียดสูงสุด ก็ยังรู้สึกผ่อนคลายและไร้กังวล การใช้ในเวลากลางคืน จะช่วยให้นอกหลับลึกและหลับสบาย ประการสุดท้ายก็คือ เนื่องจากสายพันธุ์ Cheese ทำให้เกิดความหิวอย่างรุนแรง จึงเป็นประโยชน์สำหรับใครก็ตาม ที่กำลังมีปัญหาเรื่องการเบื่ออาหาร
ผลข้างเคียง
อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยที่สุดของสายพันธุ์ Cheese ได้แก่ อาการปากแห้งและตาแห้ง เนื่องจากความแรงของมัน ดังนั้น จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ในบางกรณี อาจกระตุ้นให้เกิดความหวาดระแวงในบุคคลที่อ่อนไหวง่าย ดังนั้น ผู้ใช้มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยความระมัดระวังสูงสุด และเริ่มที่ปริมาณน้อย ๆ ก่อน
เราแนะนำให้งดการสูบในตอนเช้า เพราะอาจทำให้คุณเชื่องช้าและเฉื่อยชาไปตลอดทั้งวัน
Taste & Smell
เสน่ห์ของสายพันธุ์ Cheese อยู่ที่กลิ่นที่หอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มันชวนให้นึกถึงเชดดาร์ชีสที่บ่มแล้วมีกลิ่นฉุน พร้อมกลิ่นอ่อน ๆ ของดิน, ควัน และถั่ว ส่วนรสชาติก็น่าหลงใหลไม่แพ้กัน โดยรสชาติจะผสมผสานระหว่างรสเปรี้ยวและความเผ็ดร้อน รสชาติครีมมี่ที่มาพร้อมกับรสสมุนไพรและเครื่องเทศเล็กน้อย ทำให้เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ที่ชื่นชอบชีสโดยทั่วไป และคุณจะรู้สึกถึงกลิ่นสกังก์ ที่ยังคงติดอยู่ในปากของคุณหลังจากสูบไปแล้วเป็นเวลานาน
ในทางกลับกัน ลักษณะของดอกค่อนข้างเป็นเรื่องปกติสำหรับ indica ซึ่งมีช่อดอกขนาดเล็ก, แน่น และมีไตรโครม
ต้นกำเนิด
ต้นกำเนิดของสายพันธุ์ Cheese เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ในสหราชอาณาจักร โดยมีการค้นพบลักษณะที่หายากของ Skunk #1 สายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ลูกของแลนด์เรซ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ Afghani indica, Acapulco Gold และ Columbian Gold sativa ซึ่งมีความโดดเด่นเนื่องจากมีกลิ่นคล้ายชีสที่เป็นเอกลักษณ์
จากนั้น มันถูกผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์กับหนึ่งในพ่อแม่ของมัน ซึ่งน่าจะเป็น Afghani และก่อให้เกิดสายพันธุ์ที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Cheese ในปัจจุบันนั่นเอง
การเจริญเติบโต
Cheese ได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ปลูกมือใหม่ และการเพาะปลูกสายพันธุ์นี้จึงเป็นเรื่องง่าย แต่ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด กลับกลายเป็นการหาเมล็ดพันธุ์ให้เจอก่อน
พืชชนิดนี้ต้องการการบำรุงรักษาน้อย, ทนทานต่อศัตรูพืชและโรค แต่คุณจำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าต้นอินดิกามีลักษณะที่ถูกต้อง เช่น ต้นเตี้ยและแน่น รวมถึงสามารถเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม
สายพันธุ์นี้สามารถเติบโตได้ทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง ซึ่งค่อนข้างหลากหลาย ภายใน 9 ถึง 10 สัปดาห์ คุณจะได้ผลผลิตประมาณ 400 กรัม ต่อตารางเมตร สำหรับการเพาะปลูกในร่ม และประมาณ 600 กรัมต่อต้น สำหรับการปลูกกลางแจ้ง