วิธีสกัดน้ำมัน CBD ที่บ้าน: อธิบายการสกัดทีละขั้นตอน

ผู้ป่วยที่ต้องใช้กัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย มีการใช้น้ำมัน CBD เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น การบรรเทาความเจ็บปวด, บรรเทาความวิตกกังวล และบรรเทาโรคลมชัก แม้ว่าการซื้อน้ำมัน CBD จากร้านขายยาที่มีใบอนุญาตจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่สะดวก แต่ผู้ป่วยบางรายนิยมทำน้ำมันเองที่บ้าน เพื่อ ประหยัดค่าใช้จ่าย และปรับแต่งได้ตามความต้องการ

ที่จริงแล้ว การทำน้ำมัน CBD ที่บ้าน ไม่ต่างอะไรกับการทำต้มข่าไก่ เพราะทั้งสองเมนูนี้ต้องอาศัยการเคี่ยวอย่างระมัดระวัง และเลือกผสมส่วนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ในบทความนี้ เราจะสอนทุกสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อการผลิตน้ำมัน CBD ที่บ้าน เริ่มตั้งแต่ส่วนผสมที่ต้องใช้, ขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติ และข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยง

การสกัดน้ำมัน CBD มีส่วนประกอบอะไรบ้าง

เช่นเดียวกับอาหารจานอื่น ๆ ที่ต้องมีการเตรียมส่วนผสมก่อนลงมือปรุงอาหาร ในกรณีของน้ำมัน CBD จะเน้นไปที่ 2 สิ่งหลัก ๆ ได้แก่ Carrier Oil (น้ำมันนำพา) และดอกกัญชา ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

น้ำมันตัวพา: ใช้แบบไหนดี

น้ำมันตัวพา มีบทบาทสำคัญในน้ำมัน CBD แบบโฮมเมด เพราะทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายสาร Cannabidiol และสาร Cannabinoid อื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ สามารถพบได้มากที่สุดในพืชต่าง ๆ ดังนี้

น้ำมันมะพร้าว

• น้ำมันมะพร้าว คืออะไร? คือ น้ำมันที่บางเบาพร้อมไขมันที่ดีต่อร่างกาย
• ทำไมต้องใช้น้ำมันมะพร้าว? เพราะช่วยให้ดูดซับ CBD ได้มากและมีรสชาติที่นุ่มนวล จะดีมากหากใช้น้ำมัน CBD ก่อน
• เหมาะกับใคร? มือใหม่หรือใครก็ตามที่อยากได้น้ำมันที่มีรสชาติอ่อนโยน

น้ำมันมะกอก

• น้ำมันมะกอก คืออะไร?  คือ น้ำมันที่หลายคนรู้จักกันดีที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
• ทำไมต้องใช้? มีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานและมีรสชาติออกแนวผลไม้เล็กน้อย นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของ CBD และยังเสริมคุณสมบัติต้านการอักเสบได้อีกด้วย
• เหมาะกับใคร?  โดยทั่วไปแล้วเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบผลไม้ในน้ำมันหรือต้องการยืดอายุผลิตภัณฑ์น้ำมันให้เก็บได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย

น้ำมันเมล็ดกัญชง

• น้ำมันเมล็ดกัญชง คืออะไร?  คือ น้ำมันจากพืชชนิดเดียวกันกับ CBD
• ทำไมต้องใช้?  เพราะมันมีรสถั่ว พร้อมกับอัดแน่นไปด้วยกรดไขมันโอเมกาและสารอาหาร
• เหมาะกับใคร? ผู้ที่ชื่นชอบรสชาติกัญชาที่เหมาะสมหรือต้องการประโยชน์ด้านสุขภาพเพิ่มเติม

ด้วยการใช้วิธีการน้ำมันตัวพา สิ่งที่ได้ ไม่เพียงแต่การสกัดน้ำมัน CBD เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสารแคนนาบินอยด์และเทอร์ปีนอันทรงคุณค่าอื่น ๆ จากต้นกัญชาอีกด้วย จึงทำให้คุณได้น้ำมันแบบ full-spectrum ซึ่งเสริมสร้างการออกฤทธิ์แบบ “entourage effect” คุณจึงได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพในวงกว้างมากขึ้น

การได้ CBD คุณภาพ: ทำไมต้อง decarboxylation ก่อนการสกัด

ก่อนที่จะเริ่มสกัดน้ำมัน CBD ต้องทำการ decarb กัญชาก่อน เป็นการให้ความร้อนแก่กัญชาด้วยไฟอ่อน เพื่อกระตุ้นสารประกอบ CBD ทำให้ร่างกายมีการดูดซึมได้มากขึ้น

ทำไมต้อง decarboxylation? กัญชาดิบประกอบด้วย CBDA ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ CBD และร่างกายของเราดูดซึม CBDA ได้ไม่ดีนัก ดังนั้น หากจะสกัดโดยไม่ใช้การ decarboxylation คุณจะได้น้ำมันรสเอิร์ธโทนซึ่งไม่ได้ให้ประโยชน์ตามที่ต้องการ

การให้ความร้อนดอกกัญชง/ดอก CBD จะแปลง CBDA ให้เป็น CBD ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายของเราดูดซึมได้

เลือกสายพันธุ์ที่ถูกต้อง

สายพันธุ์กัญชาที่เลือกใช้มีผลต่อความแรงและประสิทธิภาพของน้ำมัน CBD เป็นอย่างมาก ดังนั้น การเลือกใช้ดอกกัญชาที่มีเปอร์เซ็นต์ CBD สูง เช่น Charlotte’s Angel จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยม ทั้งนี้ ยังมีสายพันธุ์ CBD อื่น ๆ อีกมากมายให้คุณได้เลือก

อุปกรณ์และส่วนประกอบที่จำเป็น

• ดอก CBD คุณภาพสูง 14 กรัม
• น้ำมันมะพร้าว 250 มล. หรือน้ำมันตัวพาที่ต้องการ
• สารสกัดสะระแหน่ 1/4 ช้อนชา (ถ้ามี)
• หม้อต้มด้ามยาว
• ชามสแตนเลส
• เครื่องวัดอุณหภูมิอาหาร
• ผ้าขาวบางหรือกระชอนละเอียด
• ภาชนะจัดเก็บ

สูตรนี้จะให้น้ำมัน CBD ที่มีความแรงเล็กน้อยประมาณ 250 มล. หากคุณต้องการมากกว่านี้ ก็สามารถปรับสัดส่วนตามสูตรได้อย่างง่ายดาย โดยคงอัตราส่วนเดิมไว้ที่ 1:18 ซึ่งหมายความว่า ดอก CBD 1 กรัม คุณจะต้องใช้น้ำมัน CBD 18 มล.

หากต้องการน้ำมันที่มีความเข้มข้นมากขึ้น คุณอาจกำหนดอัตราส่วนที่ 1:6 ก็ได้ ซึ่งหมายความว่า ดอก CBD 1 กรัม คุณต้องใช้น้ำมัน 6 มล.

วิธีสกัดน้ำมัน CBD: โดยละเอียด

1. บดดอกกัญชา:
   • นำดอก CBD มาบดด้วยเครื่องบดให้ละเอียด เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการสัมผัสกับความร้อน ทำให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพที่มากขึ้น และเกิดกระบวนการ Decarboxylation ที่สม่ำเสมอ
2. Decarb:
   • วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิประมาณ 110°C เกลี่ยดอก CBD ที่บดละเอียดบนถาดอบ แล้วนำเข้าอบประมาณ 40–50 นาที กระบวนการนี้เป็นการกระตุ้นโมเลกุล CBDA เพื่อเปลี่ยนให้เป็น CBD
3. เริ่มการแช่:
   • ในหม้อต้ม ผสมน้ำมันมะพร้าวกับที่ปราศจากคาร์บอกซิล ค่อย ๆ คนจนน้ำมันละลายและผสมให้เข้ากัน นำไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อน หากใช้ความร้อนมากเกินไป อาจทำให้ไหม้ได้
   • หากใช้หม้อต้มสองชั้นแบบตุ๋น ให้ใส่น้ำมันและดอกกัญชาลงในชาม วางชามนี้ไว้บนหม้อต้มที่มีน้ำเดือดอยู่ชั้นล่าง ไอน้ำจะทำให้ส่วนผสมร้อนขึ้น ป้องกันการไหม้ คนต่อไปจนเนียนเข้ากันดี
4. เคี่ยวส่วนผสม:
   • เคี่ยวส่วนผสมเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมง โดยคนเป็นระยะ ๆ และใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอาหารรักษาอุณหภูมิของน้ำมันให้อยู่ระหว่าง 70°C ถึง 85°C เพื่อรักษาสารแคนนาบินอยด์และเทอร์ปีน สามารถปรับความร้อนได้หากจำเป็น
5. กรองน้ำมัน:
   • เมื่อเดือดแล้วให้ยกลงจากเตา ปล่อยให้ส่วนผสมเย็นลงเล็กน้อย กรองน้ำมันในภาชนะแก้วโดยใช้ผ้าขาวบางหรือที่กรอง เพื่อให้แน่ใจว่าในขั้นตอนสุดท้ายนี้ ผลิตภัณฑ์จะปราศจากเศษเล็ก ๆ ของกัญชา
6. จัดเก็บ:
   • จัดเก็บ:
7. ตรวจสอบคุณภาพ:
   • หากต้องการประเมินคุณภาพน้ำมัน CBD ที่ทำเอง เพื่อความชัดเจน น้ำมัน CBD คุณภาพสูงควรมีสีใสและไม่เข้ม พร้อมกับไม่มีเศษผงของกัญชา

การคำนวณปริมาณสำหรับน้ำมัน CBD แบบโฮมเมด

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับปริมาณของน้ำมัน CBD เป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการโดยปราศจากการใช้ยาเกินขนาด บทความนี้เรามีคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณได้พิจารณาประสิทธิภาพของสารสกัด CBD ของคุณได้:

1. กำหนดความเข้มข้น CBD ของดอกกัญชา: โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณ CBD จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างเช่น หากฉลากบนสายพันธุ์ Remedy ที่มีวางจำหน่ายในร้านขายกัญชาทั่วไป ระบุว่า 20% หมายความว่ามี CBD 20% หรือ 200 มก. ต่อทุก 1 ดอกกัญชา
2. คำนวณปริมาณ CBD ทั้งหมด: ตามสูตรที่ให้ไว้เป็นตัวอย่าง หากใช้ดอกกัญชา 14 กรัมที่มีปริมาณ CBD 20% ปริมาณ CBD ทั้งหมดในสูตรจะอยู่ที่ประมาณ 2,800 มก. (14 กรัมคูณด้วย 200 มก.)
3. คำนวณความเข้มข้นของ CBD ในน้ำมัน: จากตัวอย่างข้างต้น ให้หารปริมาณ CBD ทั้งหมด (2,800 มก.) ด้วยปริมาตรน้ำมันทั้งหมด (250 มล.) ซึ่งให้ความเข้มข้นของ CBD 11.2 มก. ต่อมล. ดังนั้น หากคุณบริโภคน้ำมัน 1 มิลลิลิตร แสดงว่าคุณจะได้รับ CBD 11.2 มิลลิกรัม
4. ปรับตามชนิดของดอกกัญชา: ประสิทธิภาพของน้ำมันจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปริมาณ CBD ของดอกกัญชาและปริมาณน้ำมันที่ใช้ ดังนั้น ให้ทำซ้ำในเรื่องการคำนวณที่แนะนำข้างต้นในทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนสายพันธุ์หรือเปลี่ยนล๊อตใหม่ และหากต้องการสูตรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้ลองลดปริมาณน้ำมัน หรือเพิ่มปริมาณดอกกัญชา

เคล็ดลับการสกัดน้ำมัน CBD คุณภาพสูงที่บ้าน

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด ควรคำนึงถึงคำแนะนำเหล่านี้:

• หลีกเลี่ยงกัญชาที่ขึ้นรา: ห้ามใช้ดอกกัญชาที่มีเชื้อราในการสกัดน้ำมัน CBD เพราะการกินหรือสูดดมเชื้อราอาจเป็นอันตรายได้
• เลือกภาชนะจัดเก็บที่เหมาะสม: เก็บน้ำมัน CBD ในภาชนะสีเข้ม และสุญญากาศ เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ภาชนะขวดแก้วที่มีฝาปิดปิดแน่นหนา เหมาะอย่างยิ่งกับการเก็บน้ำมัน CBD เนื่องจากป้องกันการกัดกร่อนของสารเคมี ปกป้องแสงและอากาศได้
• ระบายอากาศดี: กระบวนการสกัดน้ำมัน CBD จะมีกลิ่นฉุน ดังนั้น ควรเช็คให้ดีว่า คุณน้ำมันในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี เปิดหน้าต่าง หรือใช้พัดลมดูดอากาศ
• เพิ่มน้ำมันหอมระเหย: หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะยาทาภายนอก สามารถเพิ่มน้ำมันหอมระเหยได้ ตัวอย่างเช่น การเพิ่มลาเวนเดอร์ จะเป็นการเพิ่มคุณสมบัติด้านความสงบและต้านการอักเสบของผลิตภัณฑ์ได้ เป็นต้น
• เพิ่มรสชาติ: สารสกัด CBD เพียงอย่างเดียวอาจมีรสชาติไม่ดีเท่าไหร่ ดังนั้น คุณอาจลองแต่งกลิ่นรส เช่น ส้ม วานิลลา หรือมินต์ เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยได้

การกลั่นน้ำมัน CBD

หากต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ให้ลองกลั่นน้ำมัน CBD ผ่านกระบวนการ winterization:

• แช่แข็งน้ำมัน: แช่น้ำมัน CBD ในช่องแช่แข็งเป็นเวลา 24 ชั่วโมงเต็ม เพื่อทำให้สิ่งสกปรกแข็งตัว ทำให้แยกออกได้ง่ายขึ้น
• กรองสิ่งสกปรก: หลังจากแช่แข็งแล้ว ให้เทน้ำมันผ่านที่กรองกาแฟหรือผ้าขาวบาง ตัวกรองจะจับไขมัน, ลิพิด และส่วนประกอบอื่น ๆ ที่แข็งตัว ทำให้คุณได้น้ำมันที่สะอาดมากยิ่งขึ้น
• อุ่นน้ำมัน: อุ่นน้ำมันที่กรองแล้วในหม้อต้มมีด้ามโดยใช้ไฟอ่อน ไม่ต้องถึงกับต้ม แค่อุ่นให้พอคืนความใสอีกครั้ง เมื่ออุ่นอีกครั้ง น้ำมัน CBD ที่ผ่านการกลั่นแล้วก็เป็นอันพร้อมใช้งาน ปราศจากไขและลิพิดที่ไม่จำเป็น

วิธีใช้น้ำมัน CBD

Using CBD oil is straightforward, but dosage and method can impact its effectiveness:

• ปริมาณ: เริ่มต้นด้วยปริมาณน้อย (5-10 มก. สำหรับผู้เริ่มต้น) และค่อย ๆ เพิ่มจนกว่าจะพบปริมาณที่เหมาะสมกับตัวเอง
• หยดใต้ลิ้น: หยดน้ำมันไว้ใต้ลิ้น อมไว้ 60-90 วินาทีก่อนกลืน วิธีนี้จะช่วยให้น้ำมันดูดซึมได้เร็วขึ้น
• การใช้เฉพาะที่: น้ำมัน CBD สามารถทาลงบนผิวหนังได้โดยตรง เพื่อบรรเทาอาการปวดเฉพาะที่ได้
• การทาน: คุณสามารถผสมน้ำมัน CBD กับอาหารหรือเครื่องดื่มก็ได้ แต่การดูดซึมอาจช้ากว่าวิธีหยดใต้ลิ้น

น้ำมัน CBD มีประโยชน์อย่างไร

น้ำมัน CBD ได้รับความนิยมในด้านประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เช่น:

• บรรเทาอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า
• ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
• ลดอาการปวดและอักเสบ
• ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ
• ช่วยบำบัดการใช้สารเสพติด
• ลดอาการข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็ง

ผลข้างเคียงของน้ำมัน CBD

แม้ว่า CBD จะถือว่าค่อนข้างปลอดภัยในการบริโภค แต่ก็มีผลข้างเคียงอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้และการสกัดของแต่ละล๊อตในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของการใช้น้ำมัน CBD มีดังนี้:

• ปากแห้ง
• อาการง่วงนอนหรือเหนื่อยล้า
• ลดความอยากอาหาร
• ท้องเสีย
• ทำปฏิกิริยากับยาอื่น ๆ
• คลื่นไส้
• เปลี่ยนแปลงอารมณ์และการรับรู้
• ความดันโลหิตต่ำ
• ปวดหัวหรือเวียนศีรษะ

น้ำมัน CBD ยังสามารถทำปฏิกิริยากับยาอื่น ๆ โดยส่งผลต่อร่างกายได้ ปฏิกิริยาระหว่างยานี้อาจส่งผลเสียสำหรับคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องทานยาตามใบสั่งแพทย์เป็นประจำ

เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาในปริมาณที่เหมาะสม

การสกัดน้ำมัน CBD ที่บ้านในประเทศไทยถูกกฎหมายหรือไม่

ประเทศไทย ยกเลิกโทษทางอาญาในการใช้กัญชา รวมถึงน้ำมัน CBD ในปี 2023 การซื้อขายและใช้น้ำมัน CBD และดอกกัญชงภายในประเทศ จึงเป็นเรื่องถูกกฎหมาย

เช่นเดียวกับการผลิตน้ำมันด้วยดอก CBD คุณสามารถสกัดน้ำมัน CBD ที่บ้านเพื่อใช้ส่วนตัวได้ แต่หากคุณต้องการทำเพื่อเหตุผลทางการค้า จะต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาลไทยเท่านั้น

บทสรุป

การผลิตน้ำมัน CBD ที่บ้านอาจเป็นวิธีที่คุ้มค่าและประหยัด ในการปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  เป็นกระบวนการง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพียงผสมน้ำมันตัวพากับดอกกัญชา แล้วนำไปผ่านการ Decarboxylated ด้วยไฟอ่อนเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมง จากนั้นนำไปกรอง

คุณสามารถทดลองใช้น้ำมันตัวพาและสายพันธุ์ CBD ที่แตกต่างกันได้ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับน้ำมัน CBD ในทำนองเดียวกัน ก็สามารถปรับแต่งประสิทธิภาพ โดยการเปลี่ยนปริมาณน้ำมันหรือสายพันธุ์ได้ แต่สิ่งที่ควรรู้คือ ผลิตภัณฑ์สุดท้ายอาจมี THC อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ส่งผลต่อจิตประสาท

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ให้ทำตามขั้นตอนที่เราระบุไว้ในสูตรอย่างละเอียดข้างต้น โดยให้ความสำคัญกับการกรอง และการทำ Winterisation เป็นพิเศษ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ได้ให้ดียิ่งขึ้น